บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก 2015

ทบทวนและประเมินปีเก่า เพื่อการเติบโตในปีใหม่

รูปภาพ
วันสิ้นปีพ.ศ. 2558 แล้ว เรามาทบทวนและประเมินสิ่งที่ผ่านไปทั้งปี เพื่อพัฒนาปีหน้าของเราให้ดีขึ้นอีก ดีมั๊ยคะ . ลองอ่านคำถามช้าๆ และค่อยๆ นึกแล้วเขียนคำตอบออกมาค่ะ . 1. คุณได้ใช้ความตั้งใจ และความสามารถของคุณอย่างเต็มที่ ในการทำตามเป้าหมายหรือแผนที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้นปี 2558 หรือเปล่าคะ แล้วตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไร . 2. คุณได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ หรือเติบโตขึ้นอย่างไรบ้างในปีนี้ . 3. อะไรที่คุณละเลยไป และอยากให้เวลากับเรื่องนั้นมากกว่าเดิม หากย้อนเวลากลับไปได้ . 4. หากคุณมีโอกาสแสดงความสามารถของคุณได้อย่างเต็มที่แบบไม่มีข้อจำกัด คุณคิดว่าคุณจะทำอะไรให้สำเร็จ . 5. คุณรู้สึกว่าคุณจะต้องเริ่มทำอะไรกับชีวิตคุณแล้ว และอะไรที่มันหยุดคุณไว้ . 6. อะไรคือสิ่งที่มีความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ ในชีวิตของคุณที่คุณต้องเริ่มทำ . 7. คุณจะให้คำมั่นสัญญา หรือ สัจจะ กับตัวเองอย่างไร ในการทำให้ได้ตามที่ตั้งใจไว้ในปีใหม่นี้ . ขอให้ปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ เป็นปีที่เติบโตและสวยงามมากยิ่งขึ้นสำหรับทุกท่านค่ะ  smile emoticon . Cr.ขอบคุณภาพจาก  happytownUSA.etsy.com  ค่ะ *********** แฟนเพจ  www.facebook.com/CoachACoa

สติ สำหรับผู้นำ

รูปภาพ
นับตั้งแต่คุณวิกรมได้บวชให้คุณแม่ของท่านเมื่อตอนอายุ 50 ปี (ปัจจุบันอายุ 62 ปี) รูปแบบและแนวทางการดำรงชีวิตก็เปลี่ยนไป ใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติและความสงบมากขึ้น โดยส่วนใหญ่จะช่วยบริษัทวางเป้าหมาย นโยบายและช่วยแก้ไขปัญหาเป็นครั้งคราวเท่านั้น เนื่องจากไว้วางใจในทีมงานที่มีความสามารถและระบบที่ดีขององค์กร เมื่อสิบกว่าปีก่อน คุณวิกรมบอกว่าเค้ายังไม่ได้เป็นคนที่สุขุมละเอียดรอบคอบแต่อย่างใด บางครั้งก็บริหารชีวิตด้วย "อารมณ์" หลายครั้งจึงเกิดความเสียใจและเสียหายต่อตนเองและคนใกล้ตัว จ นเมื่อคุณวิกรมได้ตระหนักรู้ว่าการใช้อารมณ์เพื่อแก้ไขปัญหานั้นไม่เกิดประโยชน์ใดๆ จึงเริ่มที่จะหันมาใช้ "สติ" กำกับในการตัดสินใจก่อนทำเรื่องต่างๆ มากขึ้น เมื่อได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องและไม่เบียดเบียนตัวเองและคนรอบข้าง จึงเกิดความสุขขึ้นอย่างแท้จริง ดังเช่นหลักในพระพุทธศาสนาที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนให้มนุษย์เราเฝ้าตามดู “จิต” ที่เต็มไปด้วยกิเลสของตนเอง การแก้ปัญหาต่างๆ ต้องเริ่มที่มองให้เห็นตามความเป็นจริงและรู้จักกิเลสในใจของเราก่อน รู้เหตุแห่งทุกข์และหนทางในการดับทุกข์เพื

ต้นแบบ "ผู้นำ" ของปวงชนชาวไทย

รูปภาพ
ยังคงอยู่ในช่วงเดือนแห่งมหามงคลเนื่องในวันเฉลิมพระชนม์พรรษาขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นต้นแบบผู้นำของประเทศไทยในทุกๆ ด้าน พระองค์ทรงปกครองแผ่นดินโดยยึดหลักทศพิธราชธรรมเพื่อความสุขของปวงชนชาวไทย . ทศพิธราชธรรม หรือ ราชธรรม 10 คือจริยวัตร 10 ประการที่พระเจ้าแผ่นดินทรงประพฤติเป็นหลักธรรม ประจำพระองค์ หรือเป็นคุณธรรมประจำตนของผู้ปกครองบ้านเมือง ให้มีความเป็นไปโดยธรรมและยังประโยชน์สุขให้เกิดแก่ประชาชนจนเกิดความชื่นชมยินดี ซึ่งความจริงแล้วไม่ได้จำเพาะเจาะจงสำหรับพระ เจ้าแผ่นดินหรือผู้ปกครองแผ่นดินเท่านั้น บุคคลธรรมดาที่เป็นผู้บริหารระดับสูงในทุกองค์กรก็สามารถใช้หลักธรรมเหล่านี้ได้เช่นกัน . ทศพิธราชธรรม ประกอบด้วย 1. ทาน (ทานํ) คือ การให้ 2. ศีล (สีลํ) คือ ความประพฤติที่ดีงาม ทั้ง กาย วาจา และใจ 3. บริจาค (ปริจาคํ) คือ การเสียสละความสุขสวนตนเพื่อความสุขส่วนรวม 4. ความซื่อตรง (อาชฺชวํ) คือ การสุจริตต่อหน้าที่การงานของตน ต่อมิตรสหาย ต่อองค์กรหรือหลักการของตน 5. ความอ่อนโยน (มทฺทวํ) คือ การมีอัธยาศัยอ่อนโยน 6. ความเพียร (ตปํ) คือ ความเพียร 7. ความไม่โกรธ (อกฺโ

ตำราพิชัยสงครามของซุนวู

Suntzu หรือ ซุนวู นักยุทธศาสตร์คนสำคัญของจีนเมื่อประมาณ 600 ปีก่อนคริสตกาล ได้เขียนตำราพิชัยสงครามถึงแง่มุมต่างๆ ของการสงครามที่มีอิทธิพลต่อแนวความคิดต่างๆ ของผู้คนทั้งโลกตะวันตกและตะวันออก และสามารถนำมาปรับใช้ในกลยุทธ์เชิงธุรกิจ การบริหารจัดการองค์กร และการปกครองคนได้ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี . วันนี้ขอนำเนื้อหาเพียงส่วนเล็กๆ มาให้อ่านกันค่ะ . ในการปกครองคน ปกครองกองทัพ มี 3 สิ่งที่ยอดขุนพลควรหลีกเลี่ยง ... 1. เมื่อไม่ทราบว่ากำลังทัพของตนมีกำลังเพียงพอหรือไม่ แต่ออกคำสั่งให้กรีฑาทัพเสียแล้ว ถือเป็นการบั่นทอนชัยชนะของตนเอง 2. ไม่ทราบหลักการบริหารต่างๆ แต่พยายามเข้าแทรกแซงกิจการของทหาร ทำให้เกิดความสับสนและผิดแบบแผนไป 3. ไม่รู้การพลิกแพลงใช้กลยุทธ์ แต่ออกไปคุมทัพด้วยตนเอง ทำให้ทหารไม่เชื่อมั่นในผู้นำ จนขวัญกำลังใจเสียและสับสน . ถ้าจะเปรียบกับโลกปัจจุบัน ก็คงคล้ายกับการทำ SWOT analysis ของธุรกิจเรา เพื่อวิเคราะห์หาจุดแข็งจุดอ่อนของเราและคู่แข่ง เพื่อวางกลยุทธ์และบริหารงานให้เหมาะสม . จุดอ่อนของแม่ทัพ 5 ข้อ 1. หากคิดจะทุ่มทั้งกองทัพเพื่อสู้ตายประการเดียว ย่อมจะถูกข้าศึกตีทัพย่อย

Braveheart

รูปภาพ
“คนทุกคนต้องตาย แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีชีวิตอยู่อย่างแท้จริง” - วิลเลียม วอลเลซ . มีภาพยนตร์คลาสสิคดีๆ หลายเรื่องที่ให้อรรถรสความบันเทิงแล้วยังสามารถสื่อถึงเรื่องความเป็นผู้นำได้ดี หนึ่งในนั้นคือเรื่อง Braveheart วีรบุรุษหัวใจมหากาฬ .. เอ๊ะ.. มีหนังชื่อนี้ด้วยเหรอ ไม่คุ้นเลยเนอะ แต่คุณแม่เล่าให้ฟังน่ะค่ะ  grin emoticon  (ขอยืมมุกอาจารย์ท่านนึงมาใช้นะคะ;) . Braveheart เป็นหนัง แอ็คชั่น ดราม่า ประวัติศาสตร์ ออกฉายในปี 1995 สร้าง กำกับ และนำแสดง โดย เมล กิบสัน รับบทเป็น วิลเลียม วอลเลซ อัศวินชาวสก็อตแลนด์ที่ปลุกระดมชาวสก็อตแลนด์ให้ปลดตนเองออกจากการเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษซึ่งมีพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 แห่งอังกฤษเป็นผู้ปกครอง ณ ขณะนั้น วอลเลซปลุกระดมชาวสก็อตแลนด์จำนวนมากและตั้งกองทัพขึ้นเพื่อต่อสู้กับกองทัพอังกฤษที่มีจำนวนมากมายกว่าหลายเท่า . หัวใจของเรื่องนี้ที่ทำให้ยิ่งดูยิ่งซาบซึ้งและประทับใจหลายคนคงเป็นเพราะความพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อทุกคนและเพื่ออุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ในอิสรภาพ จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต . ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถคว้ารางวัลออสการ์ในปีนั้นมาครองได้ถึง 5 รางวัล คือ สาขาภาพ

คุณเป็นผู้นำแค่เพราะ “ตำแหน่ง” หรือเปล่า?

รูปภาพ
ในที่นี้เราจะพูดถึงระดับของคำว่า “ Leadership ” หรือ “ผู้นำ” ที่ไม่ใช่ Management หรือผู้บริหารซึ่งมีระดับตำแหน่งต่างๆ ตั้งแต่ผู้บริหารระดับต้น กลาง สูง . ผู้นำ เป็น “กระบวนการ” ไม่ใช่ตำแหน่ง ซึ่งกระบวนการก็หมายถึง การนำพาตนเอง ทีมงาน และองค์กรไปข้างหน้า ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ . ถ้าจะพูดให้สั้นๆ ง่ายๆ คำว่าผู้นำ ก็คือ การมีอิทธิพลจูงใจผู้อื่นได้นั่นเอง . John C. Maxwell นักเขียนและนักพูดชื่อดังระดับโลกในด้านการพัฒนาผู้นำ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ The 5 levels of leadership หรือ ผู้นำ 5 ระดับ มีอะไรบ้าง ลองมาดูกันค่ะ . 1.   Position โดยตำแหน่ง คนตามคุณเพราะพวกเขาจำเป็นต้องตาม (Right มีสิทธิ ) 2.   Permission โดยความยินยอมพร้อมใจ คนตามคุณเพราะพวกเขาต้องการที่จะตาม อาจเกิดจากความสัมพันธ์ส่วนตัว (Relationship มีความสัมพันธ์ ) 3.   Production โดยผลงาน คนตามคุณเพราะพวกเขาเคยเห็นผลงานที่คุณสร้างไว้กับองค์กร (Result มีผลงาน ) 4.   People Development โดยการพัฒนาคน คนตามคุณเพราะมีสิ่งที่คุณทำให้พวกเขาเป็นการส่วนตัว (Reproduction มีการถอดแบบ ) 5.   Pinna

"การวางตัว" เพื่อสร้างโอกาสงานและธุรกิจ

รูปภาพ
มีคำถามสอบถามมาในเรื่องการวางตัวค่ะ ว่าทำอย่างไรให้ดูน่าเชื่อถือเพื่อสร้างโอกาสทางการงาน . หลายคนมีความรู้ความสามารถมาก แต่อาจยังไม่ประสบความสำเร็จในงานเท่าที่ควร สาเหตุอย่างหนึ่งอาจเกิดจาก "การวางตัวไม่เหมาะสม" . ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ทำอาชีพอะไร หรืออยู่วงการไหนก็ตาม ถ้าคุณต้องการ "คุมเกม" ให้ได้แล้ว คุณต้องใส่ใจในเรื่องนี้เป็นพิเศษ . กฎทั่วไปที่คุณต้องใช้ในทุกโอกาสในการอยู่ร่วมกับคนอื่น คือ . 1) การวางตัวโดยทั่วไปของคุณ คุณจะต้องมีลักษณะท่าทางเอาจริงเอาจัง เป็นการเป็นงาน การพูดติดตลกนั้นอาจใช้ได้เป็นบางโอกาสก็จริง แต่คนที่ใช้มักจะถูกมองว่าเป็นคนขี้เล่น หาสาระอะไรไม่ได้! . แต่หากฝ่ายตรงข้ามของคุณใช้อารมณ์ขัน คุณก็ต้องยิ้มหรือหัวเราะได้เป็นของธรรมดา แต่ต่อจากนั้น คุณต้องกลับมาจริงจังเป็นเรื่องราวเหมือนเดิม . ความจริงจังเหล่านี้ จะช่วยสร้าง "ความน่าเชื่อถือ" และ "ความเป็นที่ไว้วางใจ" ของคุณขึ้นได้อย่างมาก . 2) "การสบตา" อีกฝ่ายหนึ่งตรงๆ เสมอ แสดงถึงความใส่ใจในผู้พูดและ "ความจริงใจ" . คนที่ตาหลุกหลิกขณะพูดคุยกับคนอื่นจะไม่ได้รั

พัฒนาผู้นำ 3 มิติแบบ Google (ตอนจบ)

รูปภาพ
มาต่อกันจากเมื่อวานค่ะ .. Google ได้นำการโค้ชผู้บริหารมาใช้เป็นเครื่องมือนึงในการ “เร่ง” พัฒนาศักยภาพผู้นำขององค์กร . องค์ประกอบ 6 อย่างที่เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างสภาวะการเรียนรู้ที่เหมาะสมในการพัฒนาผู้นำ ได้แก่ - Insight พวกเค้ารู้หรือไม่ ว่าตนเองต้องพัฒนาในเรื่องใดบ้าง? - Motivation พวกเค้าเต็มใจที่ลงทุนลงแรง/เวลาในการพัฒนาตนเองมั๊ย? - Capabilities พวกเค้ามีความรู้ความสามารถที่จำเป็นมั๊ย? - Real-world practice มีโอกาสให้พวกเค้าได้แสดงฝีมือมั๊ย? - Accountability พวกเค้าตระหนักรู้ในความรู้ความสามารถของตนเอง และรู้สึกรับผิดชอบต่อการปรับปรุงผลการปฏิบัติงานของตนเองให้ดีขึ้นมั๊ย? และสิ่งสำคัญที่สุดข้อที่ 6 คือ Relationship หรือความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหารกับลูกน้อง เป็นหุ้นส่วนกัน (Partnership) ไปสู่ความสำเร็จ โดยให้การสนับสนุน สนใจ ใส่ใจ และให้ความรักแก่ลูกน้อง จึงจะเริ่มสร้างเข้าใจและความไว้วางใจให้แก่ลูกน้องในการช่วยพัฒนาศักยภาพให้แก่พวกเค้าได้ . ดร.เดวิด ได้กล่าวถึงปัญหาโดยทั่วไปไว้ 3 รูปแบบ ได้แก่ Puzzle, Problem, Mystery 1) Puzzle รูปแบบปัญหาที่มีคำตอบตายตัว ปัญหาแบ

พัฒนาผู้นำ 3 มิติแบบ Google (ตอนที่ 1)

รูปภาพ
อันนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำคิ้ว 3 มิติแต่ประการใดนะคะ ^^ . ขอแบ่งปันความรู้จากงาน ICF Summit ที่ฟิลิปปินส์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วต่อค่ะ .. ดร. เดวิด ปีเตอร์สัน (Dr. David Peterson) ผู้อำนวยการด้านการโค้ชผู้บริหารและผู้นำ ของบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก Google Inc. มาพูดเรื่องการเร่งพัฒนาทักษะผู้นำโดยใช้การโค้ชผู้บริหาร หรือ Accelerating Leadership Development through Executive Coaching ขอนำเสนอเนื้อหาเพียงบางส่วนนะคะ . ความท้าทายของผู้นำในปัจจุบันมี 3 เรื่องหลัก คือ การนำตนเอง การนำผู้อื่น และการนำองค์กร . การโค้ชผู้บริหาร จะสามารถช่วยพัฒนาทักษะให้แก่ผู้นำได้ยังงัยบ้าง.. . ในโลกปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี ผู้นำต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆ ให้เร็วขึ้น ดีขึ้น ด้วยวิธีที่ดียิ่งขึ้นตลอดเวลา . ผู้บริหารส่วนใหญ่จะอยู่ภายใต้สภาวะ VUCA (วูก้า) คำนี้เป็นคำศัพท์ที่มีที่มาจากวงการทหาร ซึ่งย่อมาจาก - Volatility การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ฉับพลัน - Uncertainty ข้อมูลและผลลัพธ์ที่ไม่ชัดเจน - Complexity ตัวแปรมากมายที่เกี่ยวข้องกัน และความไม่รู้ - Ambig

How Coaching Sparks Transformation การโค้ชจะสร้างความเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมแบบก้าวกระโดดได้อย่างไร

รูปภาพ
กลับมาจากงานสัมมนางาน International Coach Federation (ICF) Summit ที่ฟิลิปปินส์แล้วค่ะ Speaker ที่มาพูดน่าสนใจหลายท่านเลย จะค่อยๆ ทะยอยแชร์นะคะ วันนี้ขอแชร์เนื้อหาบางส่วนจากหัวข้อ The Light of Awareness: How Coaching Sparks Transformation จากดร.มาร์เซีย เรย์โนลด์ (Dr. Marcia Reynolds) ประธาน Association of Coaching Training Organizations และอดีตประธานสหพันธ์โค้ชนานาชาติ (ICF) ผู้เขียนหนังสือเรื่อง Outsmart Your Brain, Wander Woman และเล่มล่าสุด The Discomfort Zone . เคยมั๊ยคะ ที่มีใครมาพูดใส่หน้าเรา แล้วเราอึ้งไป 3 วิ(นาที) หลังจากนั้นเราก็เริ่มรู้ตัวว่าพฤติกรรมบางอย่างของเรามันไม่เวิร์ค ต้องเปลี่ยนได้ละ ดร.มาร์เซียยกตัวอย่างเรื่องของเธอเมื่อหลายปีก่อนที่ทำงานที่บริษัทแห่งนึง เธอบ่นๆๆ ให้หัวหน้าเธอฟังถึงเพื่อนร่วมงานทุกคนที่ไม่สนับสนุนโครงการของเธอ รวมถึงผู้บริหารทีมอื่นซึ่งเลื่อนโครงการของเธอออกไป จนหัวหน้าเธอกล่าวว่า “ฟังดูรู้สึกเหมือนว่า ไม่มีใครดีพอสำหรับคุณเลยใช่มั๊ย?” ดร.มาร์เซียเลยอึ้งไป 3 วิ แล้วกลับไปคิดอยู่อีกหลายคืน หลังจากนั้นเธอก็เริ่มเข้าใจและเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเอง ..

9 นิสัยที่ควรเลิกทำเดี๋ยวนี้

รูปภาพ
เริ่มต้นเดือนใหม่กันอีกแล้ว วันนี้มี "9 นิสัยที่ควรเลิกทำเดี๋ยวนี้" มาฝาก จากหนังสือ The 4-Hour Work Week ของ Timothy Ferriss หนังสือขายดีระดับล้านกว่าเล่ม และถูกแปลไปถึง 35 ภาษาทั่วโลก ผู้เขียนบอกไว้ว่า รายการสิ่งที่ต้อง "ไม่ทำ" เป็นสิ่งที่มักได้ผลในการยกระดับศักยภาพในการทำงานมากกว่าสิ่งที่ต้องทำเสียอีก เพราะ "สิ่งที่คุณไม่ทำเป็นตัวกำหนดสิ่งที่คุณทำได้" นี่คืออุปนิสัยชวนเครียดและทำกันเป็นประจำ 9 อย่างที่เราควรจะกำจัดทิ้งอย่างยิ่ง ให้ลองตั้งใจเลิกทำครั้งละ 1-2 ข้อก็พอ 1. อย่ารับสายเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่คุ้นเคย . 2. อย่าส่งอีเมล์เป็นอย่างแรกในตอนเช้า และอย่าทำเป็นอย่างสุดท้ายในตอนกลางคืน .. ควรเริ่มส่งเมล์หลัง 10 โมงหลังจากที่คุณทำงานสำคัญของวันเสร็จแล้วซักหนึ่งอย่าง . 3. อย่ายอมเข้าร่วมประชุมหรือนัดพบโดยไม่มีการกำหนดประเด็นและเวลาสิ้นสุดที่แน่ชัดเสียก่อน . 4. อย่าปล่อยให้คนอื่นพูดเรื่อยเปื่อย .. หัวใจสำคัญของการทำงานให้สำเร็จคือการเข้าสู่ประเด็นให้เร็วที่สุด . 5. อย่าเช็คอีเมล์บ่อย "รวมไว้เป็นชุดใหญ่" และเช็คดูเฉพาะในเวลาที่กำหนดไว้เท่าน

บารมี 10 สำหรับผู้นำ

รูปภาพ
วันนี้ได้คุยกับพี่ท่านนึงซึ่งมีความรู้หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างดี พี่เค้าได้บอกว่า ไม่ว่าจะศึกษาเรื่องอะไรในโลกนี้ ส่วนใหญ่ก็จะตรงกับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เหมือนที่มีคำกล่าวว่า พระพุทธเจ้ารู้นานแล้วแต่ฝรั่งเพิ่งรู้ . เรื่องการโค้ชก็เช่นกันค่ะ . วันออกพรรษาแบบนี้ ขอกล่าวถึงหลักธรรมที่ใช้ในการปกครองคน เรื่องบารมี 10 คือ ความดีที่บำเพ็ญอย่างพิเศษเพื่อบรรลุซึ่งจุดหมายอันสูง .. คุณสมบัติของผู้บริหารอย่างหนึ่งก็คือความสามารถที่จะสร้างความเชื่อถือและความเลื่อมใสศรัทธาให้เกิดขึ้นแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งคงต้องใช้เวลาพิสูจน์ให้ปรากฏและประจักษ์ชัดแก่ผู้อื่น เรียกว่าเป็นการสร้างบารมีให้แก่ตัวเอง . พุทธศาสนาได้กล่าวถึงองค์ประกอบที่จะก่อให้เกิดบารมีว่ามีอยู่ 10 ประการ ได้แก่ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยะบารมี ขันติบารมี สัจจะบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี . 1.ทานบารมี - การให้ การเสียสละ อาจไม่จำเป็นต้องให้สิ่งของมีค่าอะไร แค่การแนะนำ สั่งสอน ช่วยโค้ชให้ลูกน้องเก่งขึ้น ก็นับว่าเป็นทานบารมีแล้ว 2.ศีลบารมี - การรักษากายวาจาให้เรียบร้อย ความประพฤต

Constructive Feedback ให้ฟีดแบ็คแบบสร้างสรรค์

รูปภาพ
“ คุณทำงานได้แย่มาก!” . หรือจะเป็น . “ อืม .. พี่ว่างานน้องก็โอเคแล้วล่ะ” (แต่ในใจคิดว่า ไม่ได้เรื่องเลยอ่ะ สงสัยพี่ต้องแก้งานเองอีกบาน) . คุณเป็นหัวหน้าที่ให้ฟีดแบ็คกับลูกน้องแบบไหนกันคะ . ระเบิดอารมณ์ใส่ ลูกน้องไม่กล้าเข้าใกล้ถ้าไม่จำเป็น หรือใจดีจนไม่กล้าดุ เกรงว่าลูกน้องจะไม่รัก . คงไม่น่าจะดีทั้งสองแบบนะคะ . ผู้บริหารหรือหัวหน้าที่มีทัศนคติแบบโค้ช สิ่งแรกที่ต้องมีซึ่งเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่ลูกน้องจะรู้สึกได้ นั่นก็คือ ความรักความปรารถนาดีที่อยากจะให้ลูกน้องเราเก่งขึ้น มีผลการปฏิบัติงานที่ดีขึ้น และมีความสุขมากขึ้นในการทำงานร่วมกันกับหัวหน้า ทีมงาน และในองค์กร . เมื่อเรามีความปรารถนาดีต่อลูกน้องแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อไป คือการสื่อสารแบบตรงไปตรงมาแต่สร้างสรรค์ ( Direct Communication) อธิบายให้เฉพาะเจาะจงให้เค้าเข้าใจว่าเรารู้สึกต่อผลงานที่เค้าส่งมายังงัยบ้าง สอบถามว่าเค้าคิดว่าอย่างไรจากสิ่งที่เราบอก และถามให้เค้าคิดต่อว่ามีแนวทางจะกลับไปแก้ไขต่อไปอย่างไร และกำหนดส่งงานครั้งต่อไปภายในเมื่อไหร่ มีสิ่งใดที่ต้องการให้เราสนับส

“คิดเองเป็นมั๊ย!?!?"

รูปภาพ
หัวหน้าหลายคนคงคิดแบบนี้อยู่ในใจเวลาสั่งงานลูกน้องแต่ละครั้งแล้วไม่ได้ดั่งใจ ต้องคอยมาถามวิธีการทีละขั้นทีละตอน หัวหน้าคงคิดว่า ชั้นจะจ้างเธอมาทำมัย ทำเองเลยดีมั๊ย!? . ย้ายมาที่ฝั่งหัวหน้า.. บางคนติดกับดักความสำเร็จ คิดว่าตัวเองมายืนอยู่จุดนี้ที่เป็นผู้บริหารแล้ว ก็ไม่ต้องพัฒนาอะไรแล้ว ยังงัยก็สั่งให้ลูกน้องทำนู่นนี่ได้ ทำอะไรแบบเดิมๆ ใช้วิธีเดิมๆ เหมือนที่เคยทำกันมา นานวันเข้าผลงานของคุณและทีมอาจจะตกฮวบลงก็ได้เพราะโลกมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ลูกน้อง (ที่มีหัวก้าวหน้า) ก็อาจคิดว่าอยู่ไปก็คงไม่พัฒนา สู้ไปหางานใหม่ทำดีกว่า . ในยุคดิจิตอลนี้ ถ้าคุณอยู่เฉยๆ ก็เหมือนถอยหลังไปทุกวัน เหมือนที่เค้าพูดกันว่า ถ้าคุณไม่เปลี่ยน ซักพักก็จะมีคนมาเปลี่ยนคุณเอง! . ในปี 1899 มีบทความสร้างแรงบันดาลใจเรื่อง A Message to Garcia เขียนโดย Elbert Hubbard ขายดีมากถึง 40 ล้านฉบับ และถูกแปลไปถึง 37 ภาษา ซึ่งต่อมาได้ถูกกล่าวขานว่าเป็นวัฒนธรรมทางธุรกิจของชาวอเมริกันเกี่ยวกับทักษะความคิดริเริ่มของผู้นำ .. . “ในช่วงที่มีความตึงเครียดเพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกาและสเปน (ซึ่งปกครองคิวบา) ประธานาธิบดีวิลเลียม

คุณเหม็ง กับ คุณมาร์ก (ซักเกอร์เบิร์ก)

ฟังคุณเหม็ง สุรชัย CEO บริษัท เคที เรสทัวรองต์ เจ้าของแบรนด์ ซานตาเฟ่ และมิสเตอร์เหม็ง ในงานเปิดตัวหนังสือ “ไปให้ถึงคำว่า ใช่” เมื่อวานนี้ ได้สาระดีๆ เยอะมากค่ะ แต่สิ่งที่เก็บมาฝากบางส่วนมีความน่าสนใจตรงที่ เคล็ดลับความสำเร็จของคุณเหม็ง มันช่างละม้ายคล้ายคลึงกันกับ คุณมาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก CEO ของ Facebook ซึ่งในนาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก มันคงเป็นสูตรสำเร็จของคนประสบความสำเร็จเป็นแน่เลย ลองมาดูกันค่ะว่ามีอะไรบ้าง คุณเหม็งได้กล่าวบนเวทีว่า คน (People) หรือพนักงาน เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ในการขับเคลื่อนธุรกิจ ทำให้พนักงานมีอิสระทางความคิด มีความสุขในการทำงาน และที่ผ่านมาไม่ว่าจะเกิดวิกฤตยังงัย ก็ต้องนึกถึงการตอบแทนให้แก่ผลงานของพนักงานก่อนเป็นอันดับแรกๆ สินค้า (Product) จาก Supplier ต่างๆ ก็ต้องดีมีคุณภาพ โดยคุณเหม็งได้ส่งทีมงานไปหาวัตถุดิบดีๆ จากต่างประเทศ และปีหน้ามีแผนการนำเข้าเนื้อสัตว์คุณภาพดีถึง 2,400 ตัน หุ้นส่วนธุรกิจ (Partnership) หรือแฟรนไชส์ซี ของซานตาเฟ่ ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ก็เป็นอีกปัจจัยที่มีความสำคัญมากๆ โดยต้องมีความสัมพันธ์ที่ดี ไว้วางใจกัน จัดหาระบบและ