บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก ตุลาคม, 2015

บารมี 10 สำหรับผู้นำ

รูปภาพ
วันนี้ได้คุยกับพี่ท่านนึงซึ่งมีความรู้หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างดี พี่เค้าได้บอกว่า ไม่ว่าจะศึกษาเรื่องอะไรในโลกนี้ ส่วนใหญ่ก็จะตรงกับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เหมือนที่มีคำกล่าวว่า พระพุทธเจ้ารู้นานแล้วแต่ฝรั่งเพิ่งรู้ . เรื่องการโค้ชก็เช่นกันค่ะ . วันออกพรรษาแบบนี้ ขอกล่าวถึงหลักธรรมที่ใช้ในการปกครองคน เรื่องบารมี 10 คือ ความดีที่บำเพ็ญอย่างพิเศษเพื่อบรรลุซึ่งจุดหมายอันสูง .. คุณสมบัติของผู้บริหารอย่างหนึ่งก็คือความสามารถที่จะสร้างความเชื่อถือและความเลื่อมใสศรัทธาให้เกิดขึ้นแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งคงต้องใช้เวลาพิสูจน์ให้ปรากฏและประจักษ์ชัดแก่ผู้อื่น เรียกว่าเป็นการสร้างบารมีให้แก่ตัวเอง . พุทธศาสนาได้กล่าวถึงองค์ประกอบที่จะก่อให้เกิดบารมีว่ามีอยู่ 10 ประการ ได้แก่ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยะบารมี ขันติบารมี สัจจะบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี . 1.ทานบารมี - การให้ การเสียสละ อาจไม่จำเป็นต้องให้สิ่งของมีค่าอะไร แค่การแนะนำ สั่งสอน ช่วยโค้ชให้ลูกน้องเก่งขึ้น ก็นับว่าเป็นทานบารมีแล้ว 2.ศีลบารมี - การรักษากายวาจาให้เรียบร้อย ความประพฤต

Constructive Feedback ให้ฟีดแบ็คแบบสร้างสรรค์

รูปภาพ
“ คุณทำงานได้แย่มาก!” . หรือจะเป็น . “ อืม .. พี่ว่างานน้องก็โอเคแล้วล่ะ” (แต่ในใจคิดว่า ไม่ได้เรื่องเลยอ่ะ สงสัยพี่ต้องแก้งานเองอีกบาน) . คุณเป็นหัวหน้าที่ให้ฟีดแบ็คกับลูกน้องแบบไหนกันคะ . ระเบิดอารมณ์ใส่ ลูกน้องไม่กล้าเข้าใกล้ถ้าไม่จำเป็น หรือใจดีจนไม่กล้าดุ เกรงว่าลูกน้องจะไม่รัก . คงไม่น่าจะดีทั้งสองแบบนะคะ . ผู้บริหารหรือหัวหน้าที่มีทัศนคติแบบโค้ช สิ่งแรกที่ต้องมีซึ่งเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่ลูกน้องจะรู้สึกได้ นั่นก็คือ ความรักความปรารถนาดีที่อยากจะให้ลูกน้องเราเก่งขึ้น มีผลการปฏิบัติงานที่ดีขึ้น และมีความสุขมากขึ้นในการทำงานร่วมกันกับหัวหน้า ทีมงาน และในองค์กร . เมื่อเรามีความปรารถนาดีต่อลูกน้องแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อไป คือการสื่อสารแบบตรงไปตรงมาแต่สร้างสรรค์ ( Direct Communication) อธิบายให้เฉพาะเจาะจงให้เค้าเข้าใจว่าเรารู้สึกต่อผลงานที่เค้าส่งมายังงัยบ้าง สอบถามว่าเค้าคิดว่าอย่างไรจากสิ่งที่เราบอก และถามให้เค้าคิดต่อว่ามีแนวทางจะกลับไปแก้ไขต่อไปอย่างไร และกำหนดส่งงานครั้งต่อไปภายในเมื่อไหร่ มีสิ่งใดที่ต้องการให้เราสนับส

“คิดเองเป็นมั๊ย!?!?"

รูปภาพ
หัวหน้าหลายคนคงคิดแบบนี้อยู่ในใจเวลาสั่งงานลูกน้องแต่ละครั้งแล้วไม่ได้ดั่งใจ ต้องคอยมาถามวิธีการทีละขั้นทีละตอน หัวหน้าคงคิดว่า ชั้นจะจ้างเธอมาทำมัย ทำเองเลยดีมั๊ย!? . ย้ายมาที่ฝั่งหัวหน้า.. บางคนติดกับดักความสำเร็จ คิดว่าตัวเองมายืนอยู่จุดนี้ที่เป็นผู้บริหารแล้ว ก็ไม่ต้องพัฒนาอะไรแล้ว ยังงัยก็สั่งให้ลูกน้องทำนู่นนี่ได้ ทำอะไรแบบเดิมๆ ใช้วิธีเดิมๆ เหมือนที่เคยทำกันมา นานวันเข้าผลงานของคุณและทีมอาจจะตกฮวบลงก็ได้เพราะโลกมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ลูกน้อง (ที่มีหัวก้าวหน้า) ก็อาจคิดว่าอยู่ไปก็คงไม่พัฒนา สู้ไปหางานใหม่ทำดีกว่า . ในยุคดิจิตอลนี้ ถ้าคุณอยู่เฉยๆ ก็เหมือนถอยหลังไปทุกวัน เหมือนที่เค้าพูดกันว่า ถ้าคุณไม่เปลี่ยน ซักพักก็จะมีคนมาเปลี่ยนคุณเอง! . ในปี 1899 มีบทความสร้างแรงบันดาลใจเรื่อง A Message to Garcia เขียนโดย Elbert Hubbard ขายดีมากถึง 40 ล้านฉบับ และถูกแปลไปถึง 37 ภาษา ซึ่งต่อมาได้ถูกกล่าวขานว่าเป็นวัฒนธรรมทางธุรกิจของชาวอเมริกันเกี่ยวกับทักษะความคิดริเริ่มของผู้นำ .. . “ในช่วงที่มีความตึงเครียดเพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกาและสเปน (ซึ่งปกครองคิวบา) ประธานาธิบดีวิลเลียม

คุณเหม็ง กับ คุณมาร์ก (ซักเกอร์เบิร์ก)

ฟังคุณเหม็ง สุรชัย CEO บริษัท เคที เรสทัวรองต์ เจ้าของแบรนด์ ซานตาเฟ่ และมิสเตอร์เหม็ง ในงานเปิดตัวหนังสือ “ไปให้ถึงคำว่า ใช่” เมื่อวานนี้ ได้สาระดีๆ เยอะมากค่ะ แต่สิ่งที่เก็บมาฝากบางส่วนมีความน่าสนใจตรงที่ เคล็ดลับความสำเร็จของคุณเหม็ง มันช่างละม้ายคล้ายคลึงกันกับ คุณมาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก CEO ของ Facebook ซึ่งในนาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก มันคงเป็นสูตรสำเร็จของคนประสบความสำเร็จเป็นแน่เลย ลองมาดูกันค่ะว่ามีอะไรบ้าง คุณเหม็งได้กล่าวบนเวทีว่า คน (People) หรือพนักงาน เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ในการขับเคลื่อนธุรกิจ ทำให้พนักงานมีอิสระทางความคิด มีความสุขในการทำงาน และที่ผ่านมาไม่ว่าจะเกิดวิกฤตยังงัย ก็ต้องนึกถึงการตอบแทนให้แก่ผลงานของพนักงานก่อนเป็นอันดับแรกๆ สินค้า (Product) จาก Supplier ต่างๆ ก็ต้องดีมีคุณภาพ โดยคุณเหม็งได้ส่งทีมงานไปหาวัตถุดิบดีๆ จากต่างประเทศ และปีหน้ามีแผนการนำเข้าเนื้อสัตว์คุณภาพดีถึง 2,400 ตัน หุ้นส่วนธุรกิจ (Partnership) หรือแฟรนไชส์ซี ของซานตาเฟ่ ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ก็เป็นอีกปัจจัยที่มีความสำคัญมากๆ โดยต้องมีความสัมพันธ์ที่ดี ไว้วางใจกัน จัดหาระบบและ

Knowledge to Wisdom ความรู้สู่ "ภูมิปัญญา"

Acquire ‘Knowledge’ continuously, and apply to your work & live wisely to be your own ‘Wisdom’. - Coach Bee ไม่หยุดแสวงหาความรู้ แล้วพัฒนาไปสู่ภูมิปัญญาของตน ในการทำงานและดำเนินชีวิต - โค้ชบี เพิ่งไปบรรยายเรื่องการบริหารจัดการความรู้ หรือ Knowledge Management (KM) ให้แก่หน่วยงานราชการแห่งหนึ่งในงาน Roadshow ให้แก่ทุกภูมิภาคทั่วประเทศมาค่ะ KM เป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งในการพัฒนาองค์กรให้มุ่งสู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ เพื่อให้องค์กรสามารถตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ทั้งสภาพแวดล้อมภายนอก ได้แก่ การเมือง นโยบายภาครัฐ เศรษฐกิจ สังคม และสภาพแวดล้อมภายในองค์กร เช่น ความรู้ความสามารถของพนักงาน องค์ความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางบางอย่างที่ติดออกไปกับพนักงานที่ลาออกหรือเกษียณ ความรักความรู้สึกมีส่วนร่วมของพนักงาน และลักษณะที่แตกต่างกันของพนักงาน Generation ต่างๆ ที่มีผลต่อการติดต่อสื่อสารและการปฏิบัติงานร่วมกัน เป็นต้น KM อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ แต่การที่จะประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืนต้องอาศัยความร่วมมือจากพนักงานทุ

วิสัยทัศน์ คือหัวใจของผู้นำ

Vision is key for Leaders.  ผู้นำ ต้องมองไปข้างหน้าเสมอ ไม่ยึดติดอยู่กับความสำเร็จเก่าๆ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้คุณถอยหลัง ในโลกปัจจุบันนี้ที่อะไรๆ ก็เปลี่ยนแปลงพัฒนาไปตลอดเวลา การพูดคุยตั้งคำถามในชีวิตประจำวันของเรา สามารถ Focus ได้ในหลายๆ ระดับ เช่น - วิสัยทัศน์ Vision - การวางแผนงาน Planning - รายละเอียด Detail - ปัญหา ดราม่า Problem/ Drama เคยสังเกตหรือไม่คะ ว่าบทสนทนาของเรากับเพื่อนๆ ญาติพี่น้องของเรา เราFocus สนใจไปที่อะไร รายละเอียดเรื่องของตัวเรา หรือเรื่องของคนอื่น พูดคุยถึงแต่ปัญหา/ดราม่า หรือพยายามหาทางออก ในการโค้ชผู้บริหารหรือผู้นำ โค้ชจะตั้งคำถามโดยมุ่งเน้นไปที่ระดับวิสัยทัศน์ เพื่อทำให้ผู้บริหารกระจ่างชัดในเป้าหมายของตน แล้วจึงพูดคุยในระดับการวางแผนงานเพื่อสามารถทำให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้ หรือพูดง่ายๆ ว่าโค้ชจะพาผู้รับการโค้ชมุ่งไปยังวิธีการหรือทางออก ไม่ใช่จมอยู่กับปัญหา ทุกท่านก็สามารถนำวิธีการนี้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้เช่นกันนะคะ ทุกครั้งที่เพื่อนๆ หรือคนในครอบครัวมาปรึกษาปัญหา ลองช่วยกันตั้งคำถามเพื่อเปลี่ยน Focus ให้เขาเห็นวิสัยทัศ

วันนี้คุณได้ทำดีที่สุดหรือยัง เพื่อให้คุณ "มีความสุข"

เชื่อว่าหลายคนคงเคยตั้งใจอยากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่น่าพอใจของตนบางอย่างให้ดีขึ้น อาจจะเป็นเรื่องการทำงาน เรื่องสุขภาพ อาหารการกิน เรื่องความสัมพันธ์กับเพื่อนที่ทำงานหรือคนในครอบครัว แต่บางครั้งก็อาจยังทำไม่ได้ตามที่ตั้งใจไว้ สิ่งที่ทำให้โค้ชเองชอบในศาสตร์การโค้ชอย่างนึงคือ ทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น (อันนี้รู้สึกได้เองและมีคนรอบข้างบอกด้วยค่ะ  smile emoticon ) แต่ทุกวันนี้ก็ยังอยากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองให้ดีขึ้นอีกเรื่อยๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ได้วางไว้ ช่วงนี้ได้อ่านหนังส ือ Triggers ของคุณ Marshall Goldsmith โค้ชผู้บริหารอันดับหนึ่งของโลก ได้กล่าวไว้ว่าทำไมเราถึงไม่สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ได้ตามที่เราต้องการ แล้วมีวิธีการอย่างไรที่จะทำให้เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านั้นได้สำเร็จและยั่งยืน มีวิธีการที่เค้านำเสนออย่างนึงคือ The Power of Active Questions คือการตั้งคำถามที่ทรงพลังกับตนเอง 6 ข้อในทุกๆ วัน เพื่อให้เรารู้สึกถึงความเป็นเจ้าของและความรับผิดชอบในการเปลี่ยนพฤติกรรมตามที่เราตั้งใจไว้ แล้วถ้าหากนำคำถามเหล่านั้นมาลิสต์ไว้ในตารางและให้คะแนนตนเอง 1

Chess Not Checkers "ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ เป็นนักเล่นหมากรุก"

หนังสือ Chess Not Checkers - Elevate Your Leadership Game ของ Mark Miller นักธุรกิจและนักเขียนชื่อดังได้กล่าวไว้ถึงการบริหารองค์กรยุคใหม่ที่มีความซับซ้อนทั้งสภาพภายนอกและภายในองค์กร ผู้นำจำเป็นต้องมีการวางกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ เปรียบเหมือนกับการเล่นหมากรุก ผู้นำต้องเข้าใจถึงทักษะความสามารถที่แตกต่าง พลังงาน ความชอบ/ความสนใจ ของทีมงานแต่ละคน เหมือนหมากแต่ละตัวที่มีความแตกต่างกัน หากผู้นำมีความเข้าใจในสิ่งเหล่านี้แล้ว จะสามารถบริหารทีมงานให้ประสบความสำเร็จ เพื่อส่งมอบผลงานที่ยอดเยี่ยมให้แก่องค์กรได้ต่อไป หนึ่งในรูปแบบพฤติกรรมมนุษย์ที่เป็นที่รู้จักในวงการพัฒนาทรัพยากรบุคคล นั่นก็คือ DISC ซึ่งแบ่งพฤติกรรมมนุษย์ออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ๆ ซึ่งคิดค้นขึ้นโดยนักจิตวิทยาชื่อ William M.Marston เมื่อปี 1926 จะว่าไปแล้ว พฤติกรรม 4 กลุ่มนี้มีความเชื่อมโยงใกล้เคียงกับเรื่องธาตุทั้ง 4 ได้แก่  ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ ที่ท่าน Empodocles นักปรัชญาชาวกรีก ได้คิดค้นขึ้นเมื่อ 444 ปีก่อนคริสตกาล ลองมาดูกันค่ะ ว่า DISC คืออะไรบ้าง D - Dominance (ธาตุไฟ) ชอบค

The Inner Game of Tennis โฟกัสเกมภายในจิตใจ เพื่อชัยชนะเกมภายนอก

W.Timothy Gallway นักเขียนที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งได้เขียนหนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับการพัฒนาตนเองในด้านชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงานไว้หลากหลายแขนงในชื่อชุดหนังสือว่า “The Inner Game” โดยเขาเริ่มเขียนตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1970 มีทั้ง The Inner Game of Tennis, The Inner Game of Golf, The Inner game of Music, Inner Skiing และ The Inner Game of Work แต่เล่มที่มีชื่อเสียงที่สุดและมียอดการพิมพ์มากกว่า 1 ล้านเล่ม ได้แก่ The Inner Game of Tennis ซึ่งเขาเองมีประสบการณ์ตรงในการเล่นเทนนิสและการ เป็นโค้ชเทนนิสให้แก่ผู้เล่นคนอื่นๆ อีกด้วย เนื้อหาในหนังสือกล่าวถึงวิธีการให้ได้มาซึ่งความสำเร็จอย่างแท้จริงโดยใช้เกมเทนนิสเป็นตัวแทน ทุกๆ เกมประกอบไปด้วย 2 ส่วน คือเกมภายนอกและเกมภายใน เกมภายนอกคือการต่อสู้กับคู่แข่ง ส่วนเกมภายใน หรือ Inner Game คือการเล่นกับจิตใจของผู้เล่นเองซึ่งอุปสรรคหลักๆ ก็คือความสงสัยในตนเองและความกระวนกระวายใจ การเอาชนะเกมภายในจึงต้องรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรในการกำจัดความคิดของเราออกไปเพื่อให้เกิดผลการเล่นที่ดีที่สุด การเอาชนะเกมภายในคือการเอาชนะความสงสัยในตนเอง ความประหม่า ความกระวนกระ

หัวหน้า หัวใจ C-O-A-C-H

มีคำถามจากผู้เข้าร่วมสัมมนาที่น่าสนใจมากอันนึงค่ะ หากหัวหน้างานเป็นผู้ที่ไม่ชอบพัฒนาตนเอง พอใจในจุดที่อยู่แล้ว และก็ไม่อยากโค้ชให้ลูกน้อง เพราะเกรงว่าลูกน้องจะเก่งแล้วแซงหน้าไป ... แบบนี้ ยังสมควรให้หัวหน้าคนนี้โค้ชลูกน้องหรือไม่ หัวใจของการโค้ชที่จะทำให้เกิดประสิทธิผลที่สุด นั่นคือ ความไว้วางใจ ความร่วมมือร่วมใจระหว่างโค้ชและผู้รับการโค้ช พื้นฐานทัศนคติที่หัวหน้างานในฐานะโค้ชต้องมี นั่นก็คือ C – Care – ให้ความใส่ใจสนใจในความเจริญก้าวหน้าของลูกน้อง O – Open-minded - เปิดใจรับฟังความคิดเห็น และมองเห็นถึงศักยภาพ A – Achievement - ยินดีกับความสำเร็จของลูกน้อง C – Cooperation – ร่วมมือ สนับสนุน เพื่อให้ลูกน้องเติบโต H – Heart - ด้วยหัวใจ คือมีความจริงใจ เต็มใจ ดังนั้น คำตอบที่ดิฉันให้ไปแก่ผู้เข้าร่วมสัมมนาก็คือ หากหัวหน้าไม่เต็มใจที่จะร่วมเดินทางไปสู่ความสำเร็จหรือความก้าวหน้าของลูกน้องแล้ว ก็ไม่ควรที่จะดำเนินการโค้ชกัน เพราะยากที่จะนำพาลูกน้องไปสู่ความสำเร็จได้ ทางแก้ไขคือ อาจให้หัวหน้างานทีมอื่นหรือ HR เป็นโค้ชให้แทน หรือหาโค้ชจากภายนอก ซึ่งขึ้นอยู่กับนโยบ

"ความเงียบ" เป็นอาวุธของผู้นำ

คุณเคยสังเกตในการประชุมที่สำคัญๆ หรือเปล่าคะ ว่าการใช้ "ความเงียบ" อย่างมีแผนก็จะทำให้คุณคุมเกมได้ คนฉลาดที่เป็นคนพูดน้อยหรือคนเงียบขรึมนั้น เขาจะเป็นนักเจรจาต่อรองที่ใจถึงที่สุดและเป็นผู้นำที่เก่งที่สุด การประหยัดคำพูดมันดีกับคุณยังงัย... - จะมีคนฟังคุณพูดมากกว่า ในกรณีที่คุณพูดทุกเวลาที่มีโอกาส - ผู้คนจะเริ่มขอความเห็นจากคุณ และขอคำแนะนำจากคุณ เพราะในขณะที่คุณพูดน้อยลงนั้น คำพูดของคุณมีค่ามากขึ้นนั่นเอง - ในขณะที่คุณพูดน้อยครั้งลงนั้น ฝ่ายตรงข้ามจะถูกบีบให้ทำความผิดพลาด "ด้วยการพูดมากเกินควร!" จุดอ่อนของคนเราอย่างนึงก็คือ การชอบพูดมากกว่าฟัง ยิ่งถ้าเป็นการพูดถึงงาน สินค้าหรือบริการ หรือตัวเราในทางลบแล้ว เรามักจะเถียงเสียก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบ เราจึงไม่มีโอกาสรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในใจของอีกฝ่ายได้ครบถ้วน และอีกฝ่ายก็ไม่สามารถเข้าใจความคิดและเจตนาของเราได้อย่างถูกต้องตามที่เราต้องการ ในการพูดเพื่อหวังผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเจรจาต่อรอง นั้น เราจะต้องฟังให้มากเข้าไว้ เพราะการพูดมากจะทำให้เสียเปรียบเสมอในขณะที่การเจรจาดำเนินมาถึงตอนสำคัญ เช่น คุณถู

อยากฝึกสมองให้ "ฉลาด" ต้อง "อารมณ์ดี"

"พรุ่งนี้วันจันทร์อีกละ" หลายคนคงคิดในใจหรือบ่นออกมาในช่วงเย็นๆ ค่ำๆ วันอาทิตย์ อาจเริ่มกังวล หงุดหงิด อารมณ์เสีย เพราะพรุ่งนี้จะต้องไปประชุมกับลูกค้าจอมโหด เคลียงานกองโต หรือเจอเจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานที่ไม่ค่อยถูกชะตากัน แถมไม่รู้ว่าตอนเช้าจะฝนตกหนัก น้ำท่วม รถติดอีกหรือเปล่า หากคุณกำลังเป็นแบบนี้ อยากขอแนะนำให้รีบปรับเปลี่ยนอารมณ์ให้ดีโดยเร็วค่ะ เพราะไม่งั้น มันอาจกระทบกระเทือนถึงประสิทธิภาพของสมองที่ต้องใช้ในการทำงานของคุณได้นะ คุณอาจเปลี่ยนโฟกัสโดยนึกถึงสิ่งดีๆ ที่จะเกิดขึ้น เช่น รีบสะสางงานบางอย่างให้เสร็จเพื่อเตรียมเริ่มโครงการใหม่ที่น่าสนุกกว่าเดิม ใกล้สิ้นปีละต้องเร่งปิดยอดขายสร้างผลงานเพื่อโบนัสก้อนโต ได้ไปเม้ามอยกับเพื่อนร่วมงานที่น่ารักบางคน ฯลฯ การปรับเปลี่ยนมุมมองหรือโฟกัสจากทางลบไปเป็นเรื่องดีๆ นี่ก็เป็นเทคนิคอย่างนึงที่โค้ชใช้ในการโค้ชเช่นกัน ทุกๆครั้งที่คุณรับเอาสิ่งดีๆเข้ามา คุณได้สร้างโครงสร้างของระบบประสาทในสมองขึ้นมาใหม่ทีละนิด การทำเช่นนี้บ่อยๆ ทุกวันเป็นเวลาหลายๆ เดือน จะเป็นการค่อยๆ เปลี่ยนสมองของคุณ และจะเปลี่ยนวิธีคิด ความรู้สึก

"คำถาม" ที่ลูกน้องอยากตอบ

ในฐานะผู้บริหารหรือหัวหน้า คุณรู้มั๊ยคะว่าคำถามแบบไหนเป็นคำถามที่ลูกน้องอยากตอบ .. ระหว่าง "ทำไมยอดขายถึงไม่ได้ตามเป้า?" กับ "คิดว่าจะต้องทำยังงัยต่อไปเดือนหน้าถึงจะได้ยอดขายตามเป้า?" "เกิดอะไรขึ้นกับทีมของคุณห๊ะ?" กับ "ทีมงานของคุณจะต้องทำยังงัยต่อไปให้เอาชนะคู่แข่งได้?" "ทำไมคุณถึงคิดว่ายังทำเรื่องนี้ได้ไม่ดี?" กับ "จะทำยังงัยให้พัฒนาจุดแข็งของคุณในงานนี้ได้?" "ใครรับผิดชอบในเรื่องนี้?" กับ "ใครสามารถทำเรื่องนี้ให้สำเร็จได้?" "ทำไมงานนี้มันไม่เวิร์คเลย" กับ "เราจำเป็นต้องทำอะไรให้งานนี้มันเวิร์ค" คำถามแบบแรกเป็นคำถามที่เน้น "ปัญหา" ส่วนคำถามที่สองเป็นคำถามที่เน้น "วิธีการแก้ปัญหา/ทางออก" การเน้นไปที่ “ปัญหา” ก็คือกลับไปสู่อดีตที่มันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว! และยังบั่นทอนจิตใจคนฟังอีกต่างหาก สมองของเค้าก็จะปิด ไม่อยากคิดหรือคุยต่อ ภาษาโค้ชเรียกว่า เกิด “Away state” คือเหมือนอยากจะวิ่งหนีออกไปให้พ้นๆ จากหน้าคนถามเลย หากเราเน้นไปที่ “ทางออก

ไปให้ถึงคำว่า "ใช่"

มีข้อคิดดีๆ จากคุณสุรชัย ชาญอนุเดช CEO บริษัท เคที เรสทัวรองท์ จำกัด เจ้าของแบรนด์ “ซานตาเฟ่” ที่น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่อยากทำธุรกิจหรือใครก็ตามที่อยากประสบความสำเร็จในชีวิต มาฝากค่ะ - เวลาที่เราหลงทางไม่ใช่เพราะเราไม่มีแผนที่ แต่เพราะเราไม่มีเป้าหมาย (จากการ์ตูน โคนัน:-) - ชีวิตต้องเข้มแข็ง ล้มแล้วก็ลุกให้เหมือนตุ๊กตาล้มลุก - หลายคนมาถามคุณสุรชัยว่า ไม่มีเงินทุน ไม่เก่ง ต้องทำยังงัย .. คำตอบก็คือ ต้องมีความอดทน .. คนสำเร็จจะต้องมีทุกอย่าง ยกเว้น “ข้ออ้าง” - คนเก่งแค่ไหนก็มีโอกาสล้ม.. ใจต้องสู้.. ถ้าใจใหญ่กว่าปัญหา ปัญหาก็จะเล็กนิดเดียว - ล้ม ๆๆๆ แล้วจึงสำเร็จมากยิ่งขึ้นไป คนส่วนใหญ่ล้มแล้วโทษคนอื่นหรือสิ่งอื่นๆ เช่น สภาพเศรษฐกิจ.. หากล้มแล้วเราต้องมองตัวเอง ว่าต้องปรับปรุงอะไร ยังงัย เรื่องบุคลากร หรือ “คน” เป็นหนึ่งในเรื่องที่คุณสุรชัยให้ความสำคัญมาก เพราะเป็นปัจจัยในการดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ - มีกลยุทธ์และแผนระยะยาวเรื่องการบริหารทรัพยากรบุคคลจากประสบการณ์ที่ได้พบเห็นจากองค์กรอื่นๆ ที่อยู่ในวงการเดียวกัน .. จะไม่ปล่อยให้มีพนักงานเป็น dead wood หรือทำงานแบบเช

วันนี้คุณพูดกับ (ด่า) ลูกน้องแบบกระชับ เจาะจง มีเมตตา หรือเปล่า?

ผู้จัดการฝ่ายบริการลูกค้าของธุรกิจบริการแห่งหนึ่ง หลังจากที่ได้เรียนทักษะการโค้ชไปในวันแรกเพียงวันเดียว ก็เกิดความตระหนักรู้ในตัวเอง แล้วก็พูดกับดิฉันในวันนั้นว่า รู้แล้วว่าทำไมลูกน้องของเค้าถึงลาออกตลอด คงเป็นเพราะเค้าพูดกับลูกน้องโดยไม่มีเมตตา ถึงแม้ว่าจะเป็นการว่ากล่าวตักเตือนให้ลูกน้องทำงานให้ดีขึ้นโดยมีเจตนาดีต่อภาพรวมขององค์กรก็ตาม David Rock ได้กล่าวไว้ในหนังสือ Quiet Leadership ถึงหนึ่งในทักษะที่ผู้บริหา รที่ต้องการดึงศักยภาพของลูกน้องให้มีผลการปฏิบัติงานที่ดีขึ้น คือ การพูดที่มีเจตนาดี โดยที่คำพูดนั้นจะต้อง... - กระชับ รวบรัด เห็นภาพสิ่งที่คุณต้องการจะพูด ทำให้ลูกน้องเข้าใจถึงสิ่งที่คุณต้องการสื่อออกไป หากคุณอารัมภบทยาวนานเกินไป หรือพูดบ่นด่าแต่ปัญหาที่เกิดขึ้นไปแล้ว คนฟังก็คงไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่คุณพูดว่าคุณต้องการอะไร จำไว้ว่าหน่วยความจำของสมองในการทำงานของคนเรามันมีจำกัด! - เฉพาะเจาะจงในสิ่งที่คุณพูด เช่น ไม่ควรพูดว่า "ไว้ค่อยคุยเรื่องนี้กันวันหลัง" แต่ให้พูดว่า "ไว้คุยกันเรื่องนี้บ่ายสามโมงวันนี้ว่าเราจะมีหัวข้ออะไรบ้างในการประชุมวันพุธหน้า"

Courageous Leadership ผู้นำที่กล้าหาญ

"ไอ้ขี้ขลาด!" เราคงไม่เคยพูดกับตัวเองแบบนี้ใช่มั๊ยคะ คุณคิดว่าตัวเรามีความกล้าหาญมากน้อยแค่ไหน อันที่จริงแล้ว ความกล้าหาญ เป็นสิ่งที่ทุกคนมีติดตัวมาตั้งแต่เกิด เหมือนที่เรากล้าลุกขึ้นฝึกคลาน ฝึกนั่ง ฝึกเดิน กล้าจีบสาว ขอแต่งงาน ฯลฯ อริสโตเติลได้กล่าวไว้ว่า ความกล้าหาญ เป็นต้นกำเนิดของคุณงามความดีต่างๆ ของมนุษย์ เช่น ความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม เป็นแก่นของมนุษย์ที่ทำให้มนุษย์เติบโตและมนุษยชาติยังคงดำรงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ และความกล้าหาญ ก็เป็นแก่นขององค์กรที่จะทำให้องค์กรเติบโตเช่นเดียวกัน - ผู้นำ มีความกล้าหาญในการตัดสินใจแม้ว่าอาจจะมีคนอื่นไม่เห็นด้วย - ทีมงานนวัตกรรม มีความกล้าหาญในการฉีกกฎเกณฑ์ความคิดเดิมๆ เพื่อออกแบบสิ่งใหม่ๆ มาให้กับโลก - ทีมงานขาย ยิ่งต้องมีความกล้าหาญในการนำเสนอสินค้าหรือบริการให้กับลูกค้า แม้ว่าอาจมีความเสี่ยงที่จะต้องโดนปฏิเสธอยู่ตลอดเวลา ในหนังสือ Courageous Leadership หรือผู้นำที่กล้าหาญ ของ Bill Treasurer ได้กล่าวไว้ว่า หากเราต้องการที่จะมุ่งหาโอกาสใหม่ๆ เราต้องมีความกล้าหาญที่จะก้าวออกมาทีละนิดๆ จาก Comfort Zone หรื

จุดเด่นการใช้คนของสามก๊ก

ได้อ่านหนังสือ “ศิลปะการใช้คนในสามก๊ก” เลยมีเรื่อง จุดเด่นการใช้คนของสามก๊ก มาฝากค่ะ - ขงเบ้งเป็นบัณฑิตมีชื่อแห่งเกงจิ๋ว เลื่องลือในด้านความปรีชาสามารถและด้านศีลธรรมความประพฤติในสมัยนั้น การใช้คนของขงเบ้งจึงสอดคล้องกับบุคลิกของเขา การเลือกเฟ้นบุคลากรของเขา จึงมักยืนหยัดในบรรทัดฐานประการหนึ่งมาโดยตลอด คือ .. “ต้องพร้อมด้วยศีลธรรมและความสามารถ” - โจโฉถือกำเนิดมาจากครอบครัวขันที จึงยากที่จะได้รับการสนับสนุนจากคนในตระกูลบัณฑิต เพราะบัณฑิตทั้งหลายยึดถือในหลักซื่อสัตย์กตัญญูแห่งสำนักหรูของขงจื๊อเป็นสำคัญ ส่วนมากจึงไม่ยอมสวามิภักดิ์ด้วยโจโฉ ฉะนั้นเมื่อโจโฉต้องการรวบรวมคนดีมีความสามารถมาช่วยเขาครองแผ่นดิน ไม่ว่าคนคนนี้จะมีศีลธรรมหรือไม่ ขอแต่ให้มีความสามารถก็รับไว้ใช้ จึงได้กลายเป็นจุดเด่นแห่งการใช้คนของเขาที่ .. “เอาแต่ความสามารถเป็นที่ตั้ง" - ซุนกวนเป็นคนสุขุมแต่เด็ดขาด การเลือกเฟ้นบุคลากรของเขาจะต้องผ่านการตรวจสอบอย่างจริงจัง แลละผ่านการใคร่ครวญซ้ำแล้วซ้ำอีก เมื่อเขาตัดสินใจแล้วจะให้ความเชื่อถืออย่างเต็มที่ ทำได้ถึงขั้น .. “ถ้าระแวงก็ไม่ใช้ ถ้าใช้ก็ไม่ระแวง”

Brain-based Coach เพื่อผู้บริหาร เข้าใจพื้นฐานการโค้ชง่ายๆ ใน 5 นาที

คำว่า “โค้ช” มีที่มาจากรากศัพท์ภาษาฮังการีซึ่งแปลว่ารถม้า ความหมายที่นำมาใช้ในปัจจุบันหมายถึงการนำพาผู้รับการโค้ชจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหมายปลายทางอีกจุดหนึ่งนั่นเอง ปัจจุบันนี้มีคำว่าโค้ชให้ได้ยินกันมากมายในหลากหลายวงการ เช่น โค้ชสร้างแรงบันดาลใจ โค้ชกีฬา โค้ชการเงิน โค้ชนักร้อง โค้ชภาพลักษณ์ ฯลฯ สำหรับ Brain-based Coach หรือ โค้ชเชิงประสาทวิทยา เป็นรูปแบบหนึ่งของการโค้ชที่นำมาใช้โค้ชผู้บริหาร โดยใช้กระบวนการฟัง ตั้งคำถาม และสะท้อนกลับ โดยไม่มีการชี้นำ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้แก่ผู้รับการโค้ช และเป็นการดึงศักยภาพของผู้รับการโค้ชออกมาใช้อย่างสูงสุดเพื่อทำสิ่งต่างๆ ให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว การโค้ชในรูปแบบนี้ มีมาตรฐานซึ่งได้รับการรับรองโดยโดยสหพันธ์โค้ชนานาชาติ หรือ International Coach Federation (ICF) ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรด้านการโค้ชอันดับหนึ่งของประเทศสหรัฐอเมริกา หัวใจในการเป็นโค้ชที่ดีคือการมีทักษะและทัศนคติแบบโค้ช ประกอบด้วย - การสร้างความไว้วางใจ (Trust & Respect) เพื่อให้ผู้รับการโค้ชเปิดใจในการพูดคุยกับโค้ชและเชื่อมั่นในกระบวน